ลั่นกลองรบขึ้นอีกครั้งสำหรับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่จะเริ่มเตะรอบ 8 ทีมสุดท้ายกันตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป และแม้ว่าช่วงหลายปีหลัง
ข่าวกีฬา ความสำเร็จในท้ายที่สุดจะออกที่ทีมสเปนมากกว่าใคร แต่ที่จริง ทีมอังกฤษ ตัวแทนจาก พรีเมียร์ลีก ก็ถือว่ามี “ยุคทอง” อยู่เหมือนกัน จากการเข้าชิงชนะเลิศได้ถึง 4 จาก 5 ฤดูกาลหลังฉะนั้น ลองย้อนไปดูแบบพอสังเขปกันหน่อย ว่าแต่ละปีเกิดอะไรขึ้นบ้าง รวมทั้งปีนี้ ลองประเมินกันคร่าวๆ ว่ามีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่ตัวแทน พรีเมียร์ลีก จะพุ่งชนถ้วยบิ๊กเอียร์เข้าอีกสักครั้ง ถัดจากที่ ดิดิเยร์ ดร๊อกบา ส่งลูกจุดโทษสุดท้ายเข้าเสียบตาข่าย บาเยิร์น มิวนิค ในนัดชิงฯ ของปี 2012 แล้ว กลายเป็นว่าหลังจากนั้นอีกยาวๆ ถึง 6 ปีให้หลัง ทีมอังกฤษถึงจะลุยเข้าสู่นัดชิงชนะเลิศ UCL ได้อีกครั้งแต่แม้ ลิเวอร์พูล (ที่ผ่าน แมนฯ ซิตี้ ได้ด้วยสกอร์รวม 5-1 ในรอบ 8 ทีม) จะเข้าไปลุ้นผงาดบัลลังก์ประจำปี 2018 พวกเขา–รวมถึงทีมน้อยใหญ่ทั่วยุโรป ก็ยังต้องแหงนคอมอง “ตัวแทนสเปน” คว้าแชมป์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน (เรอัล มาดริด / บาร์เซโลน่า / เรอัล มาดริด 3 ปีซ้อน) เมื่อหงส์แดงต้านความแรงของ เรอัล มาดริด ไม่ไหว พ่ายไปที่ 1-3
หรืออันที่จริง จะบอกว่า ลิเวอร์พูล ทนพิษบาดแผลจากความผิดพลาดของ ลอริส คาริอุส ไม่ไหว ก็อาจพูดได้เหมือนกัน เมื่อนายประตูเยอรมันทำหมูหกจนเสียประตูถึง 2 ลูกให้กับ คาริม เบนเซม่า และ แกเร็ธ เบล จนประตูตีเสมอ 1-1 ของ ซาดิโอ มาเน่ แทบไม่มีความหมายเมื่อมาเสีย 1-2 ง่ายๆ ใน 8 นาทีต่อมา ก่อนที่สุดท้าย เบล จะซัดเม็ดสองของตัวเอง ส่งราชันชุดขาวรวบโทรฟี่อีกสมัยภายหลังหายไปอย่างยาวนาน “ออล-อิงลิช ไฟนัล” ก็เกิดขึ้นจนได้ กับการกรุยทางมาซัดกันเองของ ลิเวอร์พูล กับ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์นี่คือการชิงถ้วย UCL กันเองหนที่ 2 ของทีมอังกฤษ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2008 แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะจุดโทษ เชลซี ที่มอสโกที่จริง มันเกือบจะเป็นการชิงกันของ ลิเวอร์พูล กับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม อยู่รอมร่อ แต่แฮตทริกในช่วงอึดใจสุดท้ายของ ลูคัส มูร่า กลายเป็นส่ง สเปอร์ส เข้ามาแทนด้วยชัยชนะเรื่องประตูทีมเยือนเหนือตัวแทนเนเธอร์แลนด์
อ่านข่าวเพิ่มเติม : ลิเวอร์พูล ลมหวนแอบเล็งมิดฟิลด์ แอตฯ มาดริด อีกรอบ